Emotional Intelligence (EQ) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์

Emotional Intelligence (EQ) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ ถือเป็นทักษะสำคัญสำหรับคนทำงานในยุคปัจจุบันที่โลกเต็มไปด้วยการแข่งขัน ความไม่แน่นอน และการทำงานร่วมกับผู้คนที่หลากหลาย ความสำคัญหลัก ๆ มีดังนี้ครับ

ช่วยในการจัดการตนเอง (Self-Management)
คนที่มี EQ สูงสามารถควบคุมอารมณ์ ความเครียด และแรงกดดันได้ดี ทำให้ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์ ลดโอกาสเกิดความขัดแย้ง และทำให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้เจอปัญหา

เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (Relationship Management)

ในการทำงานยุคใหม่ เราต้องทำงานเป็นทีมเสมอ EQ ช่วยให้เรารับฟัง เข้าใจ และสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี

เพิ่มความเข้าใจผู้อื่น (Empathy)

การเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของคนรอบข้าง ทำให้สามารถปรับวิธีการสื่อสาร การทำงาน หรือแม้แต่การแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้นำและผู้ที่ต้องทำงานกับลูกค้า

ช่วยให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลง (Adaptability)

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนที่มี EQ จะสามารถปรับตัวได้ง่าย มองปัญหาเป็นโอกาส และมีทัศนคติเชิงบวกในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

สร้างภาวะผู้นำ (Leadership)

EQ เป็นหัวใจของการเป็นผู้นำที่แท้จริง เพราะไม่ใช่แค่การสั่งการ แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ การเข้าใจทีม และการผลักดันให้คนอื่นทำงานอย่างเต็มศักยภาพ


สรุปแล้ว EQ สำคัญไม่แพ้ IQ
เลย เพราะทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุข มีประสิทธิภาพ และสร้างความสำเร็จร่วมกับผู้อื่นได้ในระยะยาว


Emotional Intelligence (EQ) มีทฤษฎีและงานวิจัยรองรับชัดเจน โดยนักจิตวิทยาและนักวิชาการหลายท่าน โดยเฉพาะ Daniel Goleman ที่ทำให้แนวคิดนี้แพร่หลายมากขึ้นในโลกการทำงาน

มีทฤษฎีและงานอ้างอิงสำคัญเกี่ยวกับ EQ

Salovey & Mayer (1990)

นักวิชาการสองคนนี้เป็นผู้ให้คำนิยาม "Emotional Intelligence" อย่างเป็นทางการครั้งแรกว่าเป็น “ความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น”
  • แบ่ง EQ ออกเป็น 4 ด้านหลัก:

1. การรับรู้อารมณ์ (Perceiving Emotions)
2. การใช้ความรู้สึกเพื่อช่วยคิด (Using Emotions)
3. การเข้าใจอารมณ์ (Understanding Emotions)
4. การจัดการอารมณ์ (Managing Emotions)

Daniel Goleman (1995, 1998)

ผู้ทำให้ EQ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยเชื่อว่า EQ สำคัญกว่าหรือเท่า IQ ในการทำงานและความสำเร็จในชีวิต

แบ่ง EQ ออกเป็น 5 ด้าน:

1. Self-Awareness  – การตระหนักรู้ในอารมณ์ตนเอง
2. Self-Regulation – การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม
3. Motivation – แรงจูงใจภายใน
4. Empathy – ความเข้าใจผู้อื่น
5. Social Skills – ทักษะทางสังคมและการสร้างสัมพันธ์


Bar-On Model (1997)

เสนอว่า EQ เป็นชุดของความสามารถที่ไม่ใช่ด้านสติปัญญา แต่เกี่ยวกับการจัดการตนเอง ความสัมพันธ์ และการปรับตัว
เน้นว่า EQ มีผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต ความสุข และความสำเร็จในชีวิต

จากทฤษฎีเหล่านี้สามารถสรุปได้ว่า EQ ไม่ใช่แค่ “การควบคุมอารมณ์” แต่เป็น ทักษะรอบด้าน ที่ช่วยให้เราทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี มีแรงจูงใจภายใน และสามารถปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้


ลักษณะของ “คนที่มีการบริหารอารมณ์ได้ดี” มักสะท้อนออกมาทาง สีหน้า กิริยา และการแสดงออกทางกาย  โดยเฉพาะในบริบทของการทำงานและการสื่อสารกับผู้อื่น

 หน้าตาและบุคลิกของคนเอเชียที่มีการบริหารอารมณ์

  • สีหน้า: ยิ้มอ่อน ๆ แสดงความสงบ ไม่เครียดเกินไป หรือแสดงอารมณ์รุนแรง
  • ดวงตา: สายตานิ่ง มั่นคง มองคู่สนทนาด้วยความใส่ใจ ไม่กดดันหรือเลี่ยงการสบตา
  • ท่าทาง: นั่งหรือยืนหลังตรง น้ำเสียงและกิริยาท่าทางสม่ำเสมอ ไม่แสดงความหงุดหงิด
  • อารมณ์: แม้จะอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดก็ยังคงสื่อสารอย่างใจเย็น สุภาพ และเปิดรับฟังผู้อื่น
  • บรรยากาศรอบตัว: ผู้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยด้วย เพราะแสดงออกถึงความมั่นใจและความเข้าใจ



Visitors: 334,851