ทักษะการเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring Skills)
Mentoring (การเป็นพี่เลี้ยง / การให้คำปรึกษา) คือ กระบวนการถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ และแนวคิด จาก ผู้มีประสบการณ์มากกว่า (Mentor)
ไปยัง ผู้ที่มีประสบการณ์น้อยกว่า (Mentee) เพื่อช่วยให้ผู้รับคำปรึกษา “พัฒนา เติบโต และก้าวหน้าในสายอาชีพ”
ลักษณะสำคัญของ Mentoring
- เป็นความสัมพันธ์ระยะยาว
- เน้น “การแนะแนว – การแบ่งปัน – การให้คำแนะนำ”
- Mentor ทำหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษา / พี่เลี้ยง / แบบอย่าง (Role Model)”
- ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การแก้ปัญหา แต่เน้น “การเติบโตในระยะยาว” ของ Mentee
กระบวนการ Mentoring
ในองค์กร มักใช้โครงสร้างง่าย ๆ 4 ขั้นตอน (4 Steps of Mentoring Process)
ขั้นตอน |
คำอธิบาย |
ตัวอย่างคำถาม |
---|---|---|
1. สร้างความสัมพันธ์ |
เริ่มจากการสร้างความไว้ใจ เปิดใจระหว่าง Mentor–Mentee |
“ช่วงนี้คุณ/น้อง .......อยากพัฒนา ด้านไหนมากที่สุด?” |
2. กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ |
ช่วย Mentee ตั้งเป้าหมาย ระยะสั้น–ยาวในการพัฒนา |
“อีก 6 เดือนคุณอยากเห็น การเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเอง?” |
3. แบ่งปันประสบการณ์และให้คำแนะนำ (Share & Guide) |
Mentor ถ่ายทอดประสบการณ์ และแนะแนวทางที่เหมาะกับ Mentee |
“ตอนที่ฉันเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กัน ฉันลองใช้วิธีนี้…” |
4. สะท้อนผลและติดตามความก้าวหน้า |
ทบทวนผลการพัฒนา และสนับสนุนต่อเนื่อง |
“สิ่งที่คุณเรียนรู้จากช่วงที่ผ่านมา คืออะไร?” |
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำ Mentoring
1. ช่วงพนักงานใหม่ (Onboarding / Orientation)
- เพื่อช่วยปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรและการทำงานจริง
2. ช่วงเตรียมความพร้อมเป็นหัวหน้า / ผู้นำรุ่นใหม่ (Leadership Pipeline)
- Mentor ช่วยแบ่งปันประสบการณ์ผู้นำ ให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์
3. ช่วงเปลี่ยนแปลงบทบาทงาน / ย้ายสายงาน
- ช่วยลดความสับสนและสร้างความมั่นใจในการทำงาน
4. ช่วงวางแผนความก้าวหน้าในอาชีพ (Career Development)
- เพื่อช่วยวางเส้นทางเติบโตอย่างมีทิศทาง
ติดต่อสอบถามหลักสูตร ทักษะการเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring Skills) ได้ที่
e-mail : info@challengeto.com และ 089 234 3057
เมื่อใดที่องค์กรต้องการจ้ดทำโครงการ Mentoring “คำแนะนำหลัก 6 ข้อ” ที่จะทำให้ โครงการ Mentor เกิดผลลัพธ์จริงและยั่งยืน ดังนี้ค่ะ
1. วาง “เป้าหมายของโครงการ” ให้ชัดเจนก่อนเริ่ม ถามตัวเองก่อนว่า “เราทำ Mentoring Program เพื่ออะไร?”
- เพื่อพัฒนา “ผู้นำรุ่นใหม่”?
- เพื่อ “ส่งต่อองค์ความรู้จากรุ่นเก่า”?
- หรือเพื่อ “สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กร”?
เมื่อเป้าหมายชัดเจน → การออกแบบระบบ, คู่ Mentor–Mentee, และเกณฑ์วัดผลก็จะชัดตาม
2. คัดเลือก Mentor ที่ “พร้อมและเหมาะ” Mentor ที่ดีไม่จำเป็นต้องตำแหน่งสูงสุด แต่ต้อง “มีใจและมีเวลา”
- มี ประสบการณ์จริง ที่สามารถถ่ายทอดได้
- มี ทักษะการฟัง–ถาม–สะท้อน (ไม่ใช่แค่สั่งหรือบอก)
- เปิดใจเรียนรู้จาก Mentee ด้วย ไม่คิดว่าตน “รู้มากกว่าเสมอ”
แนะนำให้ จัดอบรมเตรียมความพร้อม Mentor (Mentor Orientation) ก่อนเริ่มโครงการเสมอ
3. จับคู่ Mentor–Mentee อย่างมีกลยุทธ์ การจับคู่ที่เหมาะ = ครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ
- ควรพิจารณาเรื่อง “สไตล์การทำงาน – บุคลิก – ความสนใจในสายอาชีพ”
- ใช้วิธี Matching ผ่านแบบสอบถาม หรือ Workshop แนะนำตัว
4. กำหนดโครงสร้างการพบและเนื้อหาให้ชัด ควรมี “Guideline” ชัดเจน เช่น
- พบกัน เดือนละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน
- มี Theme หรือหัวข้อแต่ละเดือน เช่น “การตั้งเป้าหมาย”, “การสื่อสารในทีม”, “การบริหารเวลา”
- มี Template บันทึกการพูดคุย เพื่อใช้ติดตามผล
5. สร้างระบบติดตามและให้การสนับสนุนต่อเนื่อง มีผู้ดูแลโครงการ (Mentoring Program Coordinator) ช่วยติดตามความคืบหน้า
- ให้ Mentor รายงานสั้น ๆ หลังการพบแต่ละครั้ง
- จัด Review Mid-Term และ Final Sharing เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
6. เฉลิมฉลองความสำเร็จและต่อยอดผลลัพธ์ เมื่อโครงการจบ อย่าเพียง “สรุปผล” แต่ให้ “เฉลิมฉลอง”
- ให้ Mentor และ Mentee แชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้
- มอบประกาศนียบัตรหรือ Recognition
- สร้าง “Community of Mentor” ให้ Mentor รุ่นต่อไปได้เรียนรู้ร่วมกัน